สุดทาง…แต่ต้องสู้ต่อ

ใครที่คิดว่ากำลังท้อหรือเจอปัญหาแย่ลองมาอ่านดูนะ เผื่อปัญหาที่เจอของบางคนมันอาจจะไม่ได้ร้ายแรงแบบนี้ก็ได้

☹️ไม่มีใครรู้หรอกว่ากว่าจะมายืนอยู่ทุกวันนี้ได้มันเหนื่อยขนาดไหน ไม่มีใครรู้หรอกว่ากว่าจะผ่านเรื่องที่เลวร้ายและแย่ที่สุดสำหรับตอนอายุ 22 มันทรมานขนาดไหน ตอนเด็กๆเคยคิดว่าเรื่องที่แย่ที่สุด คือก๋งไปอยู่บนฟ้าซึ่งตอนนั้นเราเด็กน้อย และคิดอีกว่าที่แย่กว่ามีคนอื่นเข้ามาเดินร่วมทางในคำว่าครอบครัว❗️ทุกคนภายนอกมองว่าอีนี่เป็นลูกเจ้าของโรงงานเป็นหลานเจ้าของโรงงานชีวิตแม่งสบายหว่ะ❗️ จริง!! ลูกหลานเจ้าของโรงงานจริง แต่ไม่เคยคิดที่จะใช้คำนี้เลย ม.ต้น แอบไปหางานทำหลังเลิกเรียนแค่อยากหาเงินเอง พอ ม.ปลาย เริ่มไปสมัครเซเว่น โลตัส หนักกว่านั้นงานกลางคืน เด็กเสริฟ์อาหาร เลิกเที่ยงคืน ทั้งๆที่ไม่ต้องทำก็ได้ มหาลัยก็ทำงานด้วยเรียนด้วยมาตลอดยันจบมหาวิทยาลัย เหมือนมันคือจุดเริ่มต้นที่กำลังไปได้ดีเพราะการดิ้นรนขอตัวเองจริงๆ แต่แล้ววันที่เลวร้ายที่สุดก็มาถึง วันที่ทุกคนในบ้านต่างต้องแยกย้ายไปอยู่อีกบ้านซึ่งต้องที่ความจำที่มีมา 22 ปี ในบ้านหลังนี้รั้วหลังนี้ และไปสร้างอนาคตใหม่อีกครั้ง แต่แย่กว่านั้นคือต้องแยกกันอยู่ ความรู้สึกของตอนนั้นคือมันทรมานมากกับการที่ต้องมาอยู่แบบผ่านไปวันๆทำให้มันชิน ร้องไห้เกือบทุกคืน อดทนทุกอย่าง กับสภาพตอนนั้น ลองมองย้อนผ่านไปดูมันก็ 3 ปีกว่าแล้วที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือความทรงจำ ทุกๆเหตุการณ์ที่ผ่านมามันสอนให้เรียนรู้หลายๆอย่าง ทั้งคนที่เข้ามาในชีวิตเรา มันคือบททดสอบทุกอย่าง ขอบคุณความทรงจำและเหตุการณ์ที่ผ่านมาทุกอย่างที่มันทำให้คนคนนี้เปลี่ยนไปกว่าเมื่อก่อนมากๆ ขอบคุณความดิ้นรนของตัวเอง😔😔

อย่าคาดหวังมากเกินไปกับสิ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ

ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเดินเส้นทางเกี่ยวกับการศึกษาแต่พอได้เข้ามาทำมันรู้สึกขัดกับหน้าตัวเองมากเนื่องจากคือไม่ใช่เเด็กเรียนไม่ใช่เด็กเก่งแต่พอมายืนจุดนี้มุมมองเริ่มเปลี่ยนไป

เห็นการแข่งขันเกี่ยวกับการศึกษามากขึ้น อยากเข้าโรงเรียนที่ดีที่ได้มาตรฐาน เงินต้องถึง และการหากินบนเส้นทางการศึกษาของแต่ละโรงเรียนมากขึ้นการเรียนการสอนมาตรฐานเด็กลดลงแต่การจ่ายเงินค่าเทอมกับเพิ่มขึ้น ถามว่าสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังที่จ่ายเงินราคาแพงคือคุณภาพ แต่เด็กที่คุณภาพดีนั้นไม่ใช่ว่าเรียนที่โรงเรียนอย่างเดียว แต่พ่อแม่ต้องพาไปติวตามกวดวิชาต่างๆมากๆกว่าคุณภาพจะออกมาเหมาะสมกับโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ ลองคิดดูนะเด็กที่เรียนที่โรงเรียน เรียนอาทิตย์ละ 5-6วัน วันละ7-8 ชม. แต่กลับไม่ค่อยได้อะไรพ่อแม่ก็เฉยๆ แต่ต่างจากการที่พ่อแม่พาลูกมาเรียนพิเศษด้านนอก อาทิตย์ละ 1 วัน วันละ. 2-4 ชม. แต่พ่อแม่คาดหวังทุกสิ่งทุกอย่างกับการเรียนพิเศษของลูกมากๆ ว่าภายใน2-4 ชม. ต้องอาทิตย์นั้นลูกตัวเองต้องอ่านออก เขียนได้ โดยพ่อแม่ลืมมองข้อแตกต่างระหว่างส่วนนี้ไปซะสนิท อยากให้หลายๆครที่อ่านลองกับไปมองย้อนดูนะ ว่าจริงรึเปล่า

อยากให้ลูกเป็นแบบไหน…ควรเป็นแบบนั้นให้ลูกเห็น

มีพี่ๆหลายคนสงสัยเข้ามาถามว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนไหนดีแล้วจะเจอแต่ลองอ่านสิ่งนี้ดูนะจะได้เข้าใจว่าควรให้ลูกเข้าที่ไหนหรือควรทำยังไงกับเรื่องแบบนี้

หลายคนกลัวว่าให้ลูกเข้าโรงเรียนวัด หรือรัฐบาลกลัวลูกจะเกเรก้าวร้าว ควรให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชน สังคมมันจะดีขึ้นมาหน่อย แต่จะบอกว่า ต่อให้ลูกเข้าทั้งเอกชน หรือโรงเรียนวัด หรือ รัฐบาลก็แล้วแต่ ถ้าการปลูกฝังก่อนที่จะเข้าโรงเรียนปลุกฝังมาดีอยากให้ลูกเป็นแบบไหน พ่อแม่ต้องทำให้ลูกดูว่าควรเป็นแบบไหน ถ้าลูกเข้าโรงเรียน สิ่งที่เราทำได้คือเลือกเพื่อนให้ลูกคอยให้คำปรึกษา สิ่งที่หลายๆคนกลัวก็จะไม่เกิดขึ้นถ้ามีเวลาเอาใจใส่ให้มาก ไม่จำเป็น ต้องสร้างให้เขาเข้าไปในสังคมที่สูงทั้งๆที่ตัวเราเองยังพยายามดิ้นรนอยู่ แต่ต้องสอนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้และรู้ถูกรู้ผิด จะดีกว่ามานั่งคอยเลือกว่าควรอยู่สังคมสูงๆเข้าโรงเรียนแพงๆ เด็กที่เรียนโรงเรียนหรูๆ ยังไม่เห็นเป็นเด็กดีแบบเด็กโรงเรียนวัดหลายๆคนเลยก็มี สิ่งที่บอกมานี้คืออยากให้ลูกเป็นแบบไหนเราควรเป็นตัวอย่างแบบนั้นให้เขา แล้วจะสะท้อนกลับมาเองเชื่อสิ 😊😊😊

“ก้าว” เพื่อคนทั้งประเทศ

พี่ตูน

ถ้าพูดถึงกระแสตอนนี้ทุกคนคงรู้จัก   ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล  จากสุดเขตแดนใต้ไปจนถึงเหนือสุดแดนสยาม  บนระยะทาง 2,191 กม.  เบตง – แม่สาย      “ ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ”   ด้วยการบริจาคเงิน เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาลที่ยังขาดแคลน  และต้องการความช่วยเหลือและแรงสนับสนุนจากพวกเราคนไทยทุกคน ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นขวัญและกำลังใจให้หมอ พยาบาลผู้เสียสละทั่วประเทศ

            แต่ “ ก้าว ”  ครั้งนี้เป็นก้าวที่สำคัญที่สุดและไกลที่สุดในชีวิตของผู้ชายคนนึงเลยก็ว่าได้ คือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย  หรือชื่อเรียกในวงการ ตูน บอดี้สแลม  เรามาเปิดประวัติคร่าวๆของผู้ชายคนนี้กันดีกว่า

  • ตูน เป็นนักร้องนำและนักแต่งเพลงวงบอดี้สแลม แถมยังมีศักดิ์เป็นหลานของแอ๊ด คาราบาว และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตั๊ก บงกชอีกด้วย
  • ว่าด้วยเรื่องการศึกษาของหนุ่มคนนี้ ได้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ แถมยังจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 อีกด้วย   เมื่อจบการศึกษาแล้ว หนุ่มคนนี้ยังเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินกัมพูชาแอร์ไลน์ได้ประมาณ 2 ปี
  • แล้วหนุ่มคนนี้ก็เข้ามาเดินบนเส้นทางบันเทิง และได้มีผลงานออกมาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2540

เป็นยังไงกันบ้างประวัติคร่าวๆของผู้ชายคนนี้ วันนี้เขาทำให้คนไทยทั้งประเทศหลงรักและนับถือความพยายาม ความมุ่งมั่นของ ตูน บอดี้สแลม ที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อคนทั้งประเทศ เรามาช่วยส่งกำลังใจให้ ตูนบอดี้สแลมกันเถอะ

เด็กน้อยกับโลกการแข่งขันที่ต้องมีเงิน

ยุคสมัยเปลี่ยนไปพร้อมกับการศึกษาที่ดูเหมือนจะดีขึ้นหรือเปล่า?

ต้นทุนการศึกษาแต่ละคนไม่เท่ากันอันนี้คือเรื่องปกติ แต่ยุคนี้ จะให้การเรียนดี คุณต้องมีเงินด้วย

“โอ้ว!!!! ไม่นะ”

แล้วเด็กที่ด้อยกว่าส่วนใหญ่ มักเป็นเด็กที่เรียนดีเรียนเก่งแต่ฐานะที่บ้านไม่ดี เลยหมดโอกาสทางด้านการศึกษา อนาคตของชาติส่วนมากก็มาจากเด็กเหล่านี้

ความแตกต่างมันแตกต่างตรงที่ว่าเด็กที่ครอบครัวมีฐานะที่ดีได้เรียนสูงๆบางคนก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่ามัน

ยุคนี้เด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆต้องเริ่มเตรียมตัววางแผนตั้งแต่ขึ้นมอปลาย แต่แปลกที่เด็กหลายๆคนไม่รู้เลยว่าเราต้องเตรียมตัวตอนไหนเริ่มจากตรงไหน ถ้าบ้านไหนครอบครัวใส่ใจในส่วนนี้ก็จะมีการวางแผนรอไว้ให้ แต่ถ้าบ้านไหนครอบครัวไม่ค่อยมีเวลาก็ต้องใส่ใจตัวเอง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาถึงระยะสุดท้ายแล้วที่มีที่ไหนก็ลงไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนถ้าไม่ใช่

นี่หรอคือการวางแผนอนาคตของเด็กยุคนี้ ?

อนาคตเด็กยุคนี้ มีแค่ 2 สิ่ง การแข่งขัน กับ การเงิน มันต้องควบคู่กันไปถ้ามีเงิน หลายๆคนก็จะเลือกให้ลูกๆเรียนพิเศษ แต่ต่างกับที่บางบ้านไม่มีเงิน ต้องมานั่งอ่านทบทวนเอง และสิ่งที่สังคมแย่กว่านั้นคือ การแข่งขันการสอบแต่ละที่ มันต้องใช้เงินมากมาย กว่าจะผ่านการสอบไปได้ คนที่มีก็ไม่เท่าไหร่ คนไม่มีสิ เป็นหนี้เป็นสินเท่าไหร่? ไม่มีใครเคยมาใส่ใจ

และนี่แหละคือยุคการแข่งขันยุคแห่งเงินใช้ซื้ออนาคตและผลที่ได้คือคนที่ไม่มีคุณภาพในการเสียสละบวกกับจิตใจที่ถูกสอนมาโดยใช้เงินซื้อทุกอย่าง

นิยามคำว่าเพื่อน

นิยามคำว่าเพื่อนหลายๆคนคงมีเพื่อนหลายแบบ

นิยามคำว่าเพื่อนในแบบฉบับของเรานี้

เพื่อน……….กิน

เพื่อน……….เที่ยว

เพื่อน……….กันตลอดไป

ทุกคนคงเจอกันมาทุกแบบแล้วอยู่ที่ว่าเพื่อนแต่ละแบบจะแสดงท่าทางแบบไหน ว่าเป็นคนแบบไหน บางคนเจอเพื่อที่แสดงการกระทำออกมาตั้งแต่คบกันแรกๆก็โชคดีไป ส่วนบางคนพึ่งมาเจอก็เกือบครึ่งทางแล้ว….

เพื่อนหรอ…..มีเยอะนะ

เพื่อนสำหรับเราให้เต็ม 100 นะ แต่เพื่อนบางประเภทให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ…..และสิ่งนี้แหละมันคือเพื่อนที่เห็นแก่ตัว เพื่อนที่หาผลประโยชน์จากเพื่อน พอคนไหนไม่มีประโยชน์ก็ประกาศตัวว่าเลิกคบแล้ว เพื่อนแบบนี้แหละที่ไม่ควรมีอย่างยิ่ง…….

ถึงจุดๆนึงจะรู้เลยว่าเพื่อนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราคนไหนมันดีคนไหนมันเลวเราจะรู้จากการกระทำของตัวมันเอง

และสิ่งนี้แหละมันจะคอยย้ำเตือนว่าอย่าพลาดพลั้งเอาชีวิตไปไว้กับมันมันมีแต่จะคอยดึงให้เราลงไปแบบมันด้วย ก็เหมือนคนที่ใส่หน้ากาก คอยที่จะเอามีดทิ่มแทงตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้….แต่ที่หนักสุดคือคนที่ใกล้ตัวเรานี่แหละคือภัยเงียบ ลองกลับไปสังเกตดูนะว่าเพื่อนที่มีอยู่เป็นเพื่อนประเภทไหน…..

ลมหายใจ……เฮือกสุดท้าย

เฮือกสุดท้าย……..ของการหายใจ 
เฮือกสุดท้าย………ของรอยยิ้ม
เฮือกสุดท้าย……….ของหัวใจ

เฮือกสุดท้ายของคนเราไม่เท่ากัน ชีวิตคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน คนนึงมีครบทุกองค์ประกอบ ส่วนอีกคนมีไม่ได้ครบทุกองค์ประกอบ แต่การดำเนินชีวิตค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่ความสุขสบาย และความยากลำบาก วันสุดท้ายของชีวิตทุกคนไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ภายใต้ชีวิตครั้งสุดท้ายทุกคนมีจุดจบในที่เดียวกันเสมอ แต่ชีวิตชีวิตนึงที่ล่าเริงรู้ตัวเองมาตลอด แต่วันนึงต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่มีสายระโยงระยางในตัว รอเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่กลับมีแรงผลักดันกำลังใจ ให้หลุดออกมาจากห้องนั้น แต่อาการป่วยของเขามันไม่ได้ดีเป็นอย่างที่คิด ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีก จำได้แค่ว่าวินาทีสุดท้าย บนเครื่องที่ระโยงระยางนั้น มีรอยยิ้มปนคราบน้ำตา พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้ม เพื่อบ่งบอกว่านี่คือ เฮือกสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นใจ นี่คือรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ นี่คือสายตาแววตาสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความรักครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลาไป……..และคือเสียงสุดท้ายของอุปกรณ์ในห้องนั้น…..
คิดถึงเฮืกสุดท้าย……..ของคนบนฟ้า

คิดถึงอ้อมกอด……..ของคนบนฟ้า

คิดถึงรอยยิ้ม………ของคนบนฟ้า

ที่ไม่สามารถเอามันกลับมาคืนได้

เหนื่อยไหม……หัวใจ

เหนื่อยไหมที่ต้องอดทนอะไรคนเดียว
เหนื่อยไหมที่ต้องสู้กับบางสิ่งบางอย่างคนเดียว
เหนื่อยไหมที่ต้องฝ่าฟันผจญอุปสรรคคนเดียว
เหนื่อยไหมที่ต้องฝืนยิ้มทั้งที่ข้างในมันอยากจะร้องไห้ออกมา

ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเหนื่อยที่ต้องอดทนเผชิญหลายสิ่งหลายอย่างคนเดียว เหนื่อยที่ต้องอดทนกับคนหลายๆคนเหนื่อยที่ต้องสู้กับโลกอันโหดร้าย เหนื่อยที่ต้องโดนคนหลายๆคนที่ไม่เห็นค่าคอยดูถูก เหนื่อยที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่หลายๆอย่างเพียงคนเดียว แต่ความเหนื่อยพวกนี้ มันก็แค่เหนื่อยแต่สิ่งที่มันทำให้คนเราหนักใจที่สุด ในเรื่องของความรัก
หนื่อยไหมที่ต้องวิ่งตามคนๆนึงทั้งที่เขาไม่เคยสนใจในตัวเราเลย……เหนื่อยไหมหัวใจ

เหนื่อยไหมที่เป็นได้แค่ตัวตลกในเรื่องของความรัก 
เหนื่อยไหมที่มอบความรักให้ใครไปเต็มร้อยแต่ถูกมองข้าม

เหนื่อยไหมที่พยายามดิ้นรนให้คนๆนึงกลับมาสนใจในตัวเรา

         ลองเปลี่ยนจากวิ่งตามความรักเป็นค่อยๆมองหาคนที่พร้อมจะเดินไปด้วยกันดูสิ……แล้วเราจะเลิกถามหัวใจตัวเองว่า……….เหนื่อยไหมหัวใจ

เคยนับ 1-100 ไหม

เคยไหมที่ต้องนับ 1-100
เคยไหมที่ความอดทนถึงขีดสุดแต่ก็ต้องตั้งสติใหม่
เคยไหมที่คนคนนึงให้ความหวังแต่มันแค่ลมปาก
เคยไหมที่เจอกับเรื่องราวแย่ๆแล้วต้องบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถามว่าเคยไหมนั่นแหละคือสิ่งที่ทุกคนเคย. แต่การนับ 1-100 ในที่นี้คือการตั้งสติที่ไม่ยอมตกเป็นทาสของความโกรธ การนับ 1-100 แล้วกลั้นน้ำตากับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดบางอย่าง เพื่อไม่ให้ใครเห็นน้ำใสๆจากดวงตาของเรา คือการที่ไม่อยากให้ใครรับรู้ความรู้สึกของเราในตอนนั้น ต่อให้มันทนไม่ได้ก็ตาม แต่การนับ 1-100 ในแต่ละเหตุการณ์ มันคล้ายๆเป็นการต่อยอดของความอดทนและก็ความเข้มแข็งไปอีกระดับ จากที่เคยตั้งสติไม่อยู่กับคำพูดของคนที่เรารัก แต่ตอนนี้เราทำลายความโกรธบางส่วนลง เดื้อตั้งสติ และทำให้ใจเราเย็นลงมากขึ้น แต่กับการผิดหวังในบางเรื่อง อาจจะนับไม่ถึง 100 แต่เราก็ต้องพยายามกับมันให้เย็นลงมากที่สุด และสิ่งนี้แหละจะส่งผลระยะยาวให้เรามีความอดทนและใช้สติมากขึ้น

แม้แต่เรื่องความรักกับคนสองคนก็ต้องการที่จะนับ 1-100 เพราะถ้าต่างคนต่างร้อนเข้าหากันมันจะถึงจุดจบของเส้นทางชีวิตไวกว่าที่คาดหวังไว้ได้